วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553

กาแฟ

กาแฟ เป็นเครื่องดื่มที่ทำจากเมล็ดกาแฟคั่วซึ่งได้จากต้นกาแฟ กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกชนิดหนึ่งเช่นเดียวกับชาและน้ำ กาแฟเป็นสินค้าธรรมชาติที่มีการซื้อขายกันมากเป็นอันดับสองของโลก รองจากปิโตรเลียมเท่านั้น

มนุษย์เริ่มบริโภคกาแฟตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 9 เมื่อถูกค้นพบตามที่ราบสูงในเอธิโอเปีย จากนั้นก็แพร่กระจายไปยังอียิปต์และเยเมน แลเมื่อถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 กาแฟก็เดินทางไปถึงอาเซอร์ไบจาน เปอร์เซีย ตุรกีและแอฟริกาเหนือ จากโลกมุสลิม กาแฟก็เดินทางไปยังอิตาลี จากนั้นไปยังส่วนที่เหลือของยุโรป อินโดนีเซียและทวีปอเมริกา

กาแฟมีส่วนสำคัญในสังคมหลายแห่งในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ในแอฟริกาและเยเมน กาแฟเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมทางศาสนา ดังนั้นคริสตจักรเอธิโอเปียจึงสั่งห้ามบริโภคกาแฟจนกระทั่งถึงรัชสมัยของ จักรพรรดิมีนีลิคที่ 2 แห่งเอธิโอเปีย กาแฟถูกสั่งห้ามในจักรวรรดิออตโตมาน ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 เนื่องจากเหตุผลทางการเมือง และได้รับความร่วมมือจากกิจกรรมทางการเมืองหัวรุนแรงในทวีปยุโรป

กาแฟเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของโลก ในปี ค.ศ. 2004 กาแฟเป็นผลผลิตทางการเกษตรที่มีการส่งออกมากเป็นอันดับที่หกของโลก เป็นสินค้าการเกษตรส่งออกที่ทำรายได้เป็นอันดับหนึ่งในจำนวน 12 ประเทศ และในปี ค.ศ. 2005 กาแฟเป็นพืชที่มีการส่งออกนอกประเทศมีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 7 ทั่วโลก

กาแฟได้รับการโต้เถียงอย่างมากในด้านการเพาะปลูกต้นกาแฟและผลกระทบกับ สิ่งแวดล้อม และมีการศึกษาจำนวนมากที่ระบุถึงความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคกาแฟกับข้อ จำกัดทางยาอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดว่ากาแฟให้คุณหรือให้โทษกันแน่

ประวัติ

ดูบทความหลักที่ ประวัติกาแฟ

เหนือประตูของร้านกาแฟแห่งหนึ่งในเมืองไลป์ซิกมีประติมากรรมรูปชายในชุด พื้นเมืองตุรกีกำลังรับถ้วยกาแฟจากเด็กผู้ชายคนหนึ่ง

เชื่อกันว่ากาแฟถูกค้นพบครั้งแรกโดยเด็กเลี้ยงแพะชาวอาบิสซีเนีย ที่ชื่อว่า คาลดี ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 9[2] จากการสังเกตพบว่า แพะดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นเมื่อกินเมล็ดกาแฟป่า[13] จากเอธิโอเปีย กาแฟได้แพร่กระจายไปยังอียิปต์และเยเมน[14] และในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 กาแฟได้แพร่ไปทั่วตะวันออกกลางทั้งหมด รวมทั้ง เปอร์เซีย ตุรกีและแอฟริกาเหนือ

ในปี ค.ศ. 1583 เลโอนาร์ด เราวอล์ฟ แพทย์ชาวเยอรมัน ได้บรรยายถึงกาแฟหลังจากท่องเที่ยวในดินแดนตะวันออกใกล้เป็นเวลากว่าสิบปีไว้ว่าดังนี้:[15]
“ เครื่องดื่มที่มีสีดำเหมือน หมึก ใช้รักษาโรคภัยได้หลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่เกี่ยวกับท้อง ผู้ดื่มจะดื่มในตอนเช้า มันเป็นการนำน้ำและผลไม้จากไม้พุ่มที่เรียกว่า bunnu ”

ในช่วงก่อนศตวรรษที่ 16 กาแฟถูกปลูกโดยชาวอาหรับเท่านั้น ชาวอาหรับหวงแหนพันธุ์กาแฟมาก แต่ในที่สุดเมล็ดกาแฟก็ออกมาสู่โลกกว้าง เนื่องจากการค้าขายระหว่างเวนิซกับแอฟริกาเหนือ อียิปต์และตะวันออกกลางที่เจริญขึ้น ทำให้อิตาลีได้รับสินค้าใหม่ ๆ เข้ามา ซึ่งรวมไปถึงกาแฟด้วย หลังจากนั้น กาแฟก็ได้แพร่กระจายไปทั่วยุโรป เนื่องจากได้รับการยอมรับว่าเป็นเครื่องดื่มของคริสเตียนโดยสมเด็จพระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 8 ในปี ค.ศ. 1600 แม้ว่าจะมีการร้องเรียนให้ยกเลิก "เครื่องดื่มมุสลิม" ก็ตาม ร้านกาแฟแห่งแรกในทวีปยุโรปเปิดในอิตาลีในปี ค.ศ. 1645[3] ชาวดัตช์เป็นชนชาติแรกที่นำเข้ากาแฟเป็นจำนวนมาก และฝ่าฝืนข้อห้ามของอาหรับเกี่ยวกับการส่งออกพืชและเมล็ดที่ยังไม่ได้คั่ว เมื่อ Pieter van den Broeck ลักลอบนำเข้ากาแฟจากเอเดนไปยังยุโรปในปี ค.ศ. 1616[16] ในภายหลังชาวดัตช์ยังได้นำไปปลูกในเกาะชวาและซีลอน[17] ซึ่งผลผลิตกาแฟจากเกาะชวาสามารถส่งไปยังเนเธอร์แลนด์ได้ในปี ค.ศ. 1711[18] และด้วยความพยายามของบริษัท อินเดียตะวันออกของอังกฤษ ทำให้กาแฟได้รับความนิยมในประเทศอังกฤษเช่นเดียวกัน กาแฟเข้าสู่ประเทศฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1657 และเข้าสู่ประเทศออสเตรียและโปแลนด์ หลังจาก ยุทธการแห่ง เวียนนา เมื่อปี ค.ศ. 1683 หลังจากที่ทหารสามารถยึดเสบียงของทหารออตโตมานเติร์กที่พ่าย แพ้ในการรบครั้งนั้น

หลังจากนั้น กาแฟได้เข้าสู่ทวีปอเมริกาเหนือในช่วงของยุคอาณานิคม แต่ว่าไม่ได้รับความนิยมมากเท่ากับในทวีปยุโรป อย่างไรก็ตาม ในช่วงสงครามปฏิวัติอเมริกัน ปริมาณความต้องการกาแฟได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนพวกพ่อค้ากักตุนสินค้า เอาไว้และปั่นราคาขึ้นอย่างกะทันหัน ซึ่งบางส่วนเป็นผลมาจากการที่พ่อค้าชาวอังกฤษไม่สามารถนำเข้าชาได้ มากนัก[20] หลังจากสงครามปี 1812 ในช่วงที่อังกฤษงดการนำเข้าชาเป็นการชั่วคราว ชาวอเมริกันจึงหันมาดื่มกาแฟแทน และมีปริมาณความต้องการสูงมากในช่วงสงครามกลาง เมืองอเมริกัน ไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาของเทคโนโลยีการต้มเหล้าทำให้กาแฟกลายเป็นสินค้ายอดนิยมในสหรัฐอเมริกาจนถึงปัจจุบัน

ชีววิทยา
ต้นกาแฟเป็นพืชพื้นเมืองเขตร้อนแถบแอฟริกาและเอเชียใต้[22] กาแฟถูกจัดให้อยู่รวมกับพืชมีดอก ของวงศ์ Rubiaceae ถูกจัดเป็นต้นไม้ประเภทไม่ผลัดใบ ต้นกาแฟสามารถสูงได้ถึง 5 เมตรถ้าไม่เล็มออก ใบของต้นกาแฟมีสีเขียวเข้มและเป็นมัน ขนาดโดยเฉลี่ยยาว 10-15 เซนติเมตร และกว้าง 6 เซนติเมตร ดอกของต้นกาแฟมีสีขาว มีกลิ่นหอม และจะบานพร้อมกันทั้งต้น ผลกาแฟมีลักษณะรียาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร[23] ผลกาแฟอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อสุก สีของเมล็ดจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง และเมื่อนำไปผึ่งให้แห้ง สีของเมล็ดจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มและสีดำในที่สุด ผลกาแฟแต่ละผลจะมีเมล็ดอยู่สองเมล็ด แต่ผลกาแฟประมาณ 5-10% จะมีเมล็ดเพียงเมล็ดเดียว[24] เมล็ดจำพวกนี้จะเรียกว่า พีเบอร์รี่[25] โดยปกติแล้ว ผลกาแฟจะสุกภายในเจ็ดถึงเก้าเดือน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น